Finalgoal News: เหมาะสมไร้ข้อกังขา!สิ่งที่อยากบอกหลังลิเวอร์พูลชนะเชลซีคว้าแชมป์บาวคัพ
Finalgoal News: เหมาะสมไร้ข้อกังขา!สิ่งที่อยากบอกหลังลิเวอร์พูลชนะเชลซีคว้าแชมป์บาวคัพ
ก่อนอื่นขอแสดงความยินดีกับเด็กหงส์ทุกหมู่เหล่าที่ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์แรกในฤดูกาลนี้อย่าง คาราบาว คัพ มาครองได้สำเร็จ หลังเอาชนะ เชลซี จากการดวลจุดโทษ ด้วยสกอร์ 11-10 Finalgoal
แต่จะเป็นแชมป์แรก และแชมป์เดียวของฤดูกาล หรือจะมีแชมป์ต่อๆ ไปก็ต้องมารอดูกัน เพราะยังเหลือแชมป์ให้ลุ้นอีกถึง 3 รายการเลยทีเดียวเชียว
1. อันดับแรกอยากให้ดูการจัดตัวของกุนซือทั้ง 2 ทีมก่อน
เฉพาะอย่างยิ่งในตำแหน่งผู้รักษาประตู
โธมัส ทูเคิ่ล ตัดสินใจให้ เอดูอาร์ เมนดี้ ลงเฝ้าเสาเป็นตัวจริงแทนที่ 'เกปา' ที่ลงเล่นในรายการนี้มาตลอด เพราะต้องการความแน่นอนกว่าในเกมสำคัญระดับนัดชิงฯ บ้านผลบอล finalgoal
ขณะที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ยึดมั่นในตัวนายทวารมือ 2 อย่าง
ควิวีน เคลเลเฮอร์ ที่ลงเฝ้าเสาในถ้วยนี้มาตลอด โดยไม่เกรงกลัวว่าเด็กมันอาจจะกดดันจนผิดพลาด
นอกนั้นล้วนเป็นตัวหลักที่ดีที่สุดของทั้ง 2 ทีม
สิงห์บลูส์มาในสูตร 3-4-2-1 โดยไม่มีหัวหอกตัวเป้า โดยให้ ไค ฮาแวร์ตซ์ สวมบทกองหน้าตัวปลอม
ส่วน 'หงส์แดง' มาในสูตร 4-3-3 ตอนแรกในรายชื่อมี ติอาโก้ อัลคันตาร่า ลงตัวจริง แต่ดันเจ็บตอนวอร์มอัพก่อนแข่งจนต้องให้ นาบี เกอิต้า ลงแทน ขณะที่ 3 ตัวบนส่งจรวดทางเรียบอย่าง โม ซาล่าห์, ซาดิโอ มาเน่ และลุยส์ ดิอาซ ลงพร้อมกัน
บ้านผลบอล 888 สด คุณภาพผู้เล่นถือว่าสูสี ไม่เหลื่อมล้ำกันมากนัก
2. อย่างไรก็ตาม
ก่อนการศึก ผู้ชมทางบ้านอย่างผมคาดว่าน่าจะเป็น ลิเวอร์พูล ที่ครองบอลบุกได้มากกว่า เพราะ เชลซี จะมาเน้นเกมรัดกุมพลางหาจังหวะจู่โจมอย่างฉาบฉวย
แต่สิ่งที่เห็นกลับไม่เป็นอย่างที่คาด เมื่อทีมสิงโตน้ำเงินเดินหน้าเข้าหาพลางชิงจังหวะบดบี้เร็วทันทีจนเกือบขึ้นนำก่อน
กระทั่ง 20 นาทีแรกผ่านไปนั่นแหละ ลิเวอร์พูล ถึงเริ่มตั้งหลักได้แบบจริงๆ จังๆ โดยคอนโทรลเกมได้มากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆ พลางบุกกระหน่ำใส่เป็นชุดๆ จนเกือบได้ประตูขึ้นนำเช่นกัน ก่อนจะถอนคันเร่งในช่วงท้ายครึ่งแรก
เชลซี เล่นเกมรับได้ดีนะครับ ไม่พลาดง่ายๆ แถมนายทวารอย่าง เมนดี้ ก็ช่วยได้เยอะเหมือนบอกว่าการตัดสินใจเปลี่ยนผู้รักษาประตูของ โธมัส ทูเคิ่ล เป็นสิ่งที่ถูกต้อง
3. ครึ่งหลังก็คล้ายๆ กับครึ่งแรกคือ เชลซี เริ่มต้นได้ดีกว่า อีกทั้งยังเกือบขึ้นนำจากจังหวะหลุดเดี่ยวไปยิงของ เมสัน เมาต์ บ้านผลบอล goal
น่าเสียดายที่บอลมันติดเท้าไปหน่อยจึงสับไกได้ไม่ถนัด บอลพุ่งไปชนเสา
หลังผ่านไปประมาณ 60 นาที ลิเวอร์พูล ถึงคุมเกมได้มากขึ้น และบุกได้มากกว่าจนในที่สุดก็พังประตูได้สำเร็จจากจังหวะเล่นลูกตั้งเตะอันเป็นทีเด็ดของตัวเอง
เดชะบุญของ เชลซี ที่ VAR จับได้ว่า เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ที่อยู่ในตำแหน่งล้ำหน้าไปเหนี่ยวรั้งผู้เล่นของ เชลซี - ประตูที่ โฌแอล มาติ๊ป โขกเข้าไปตุงตาข่ายจึงถูกยึดคืน
ภาพรวมของเกมคือต่างฝ่ายต่างทำในสิ่งที่ตนเองถนัด
ลิเวอร์พูล เพรสซิ่งเข้าแย่งบอล แล้วบุกกดดันได้มากกว่า ขณะที่ เชลซี เน้นเกมรัดกุม รอโอกาสอย่างใจเย็นพลางตลบหลังในจังหวะที่แผงหลังหงส์แดงดันขึ้นมาสูงได้แม่นยำเลยทีเดียว
ทั้งคู่ห้ำหั่นกันอย่างถึงใจพระเดชพระคุณ ผลัดกันรุกผลัดกันรับจนมีโอกาสได้ประตูด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย แต่นายทวารของทั้ง 2 ทีมนี่แหละคือกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ทีมตัวเองรอดพ้นจากการเสียประตู ส่งผลให้เกมยืดเยื้อจนต้องตัดสินด้วยการดวลจุดโทษ
4. ทีนี้มาว่ากันถึงแท็คติกในการดวลจุดโทษที่ผมมองว่าในฟุตบอลสมัยใหม่ มันไม่ได้ 50-50 หรือขึ้นอยู่กับดวง
เพราะมันตัดสินกันด้วยการฝึกซ้อมจนเกิดความมั่นใจ การวางลำดับการยิงของผู้เล่น และการศึกษาวิธีการยิงจุดโทษของทีมคู่แข่งด้วย
ก่อนครบ 120 นาที กุนซือของ เชลซี จึงส่ง 'เกปา' ลงมาแทน 'เมนดี้' เพื่อดวลจุดโทษโดยเฉพาะ
เนื่องจากนายทวารชาวสเปนผู้นี้ฝึกซ้อมการป้องกันจุดโทษมาอย่างช่ำชอง แถมน่าจะศึกษาวิธีการยิงจุดโทษของคู่แข่งมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว
จุดนี้เหมือน เชลซี จะเตรียมตัวมาดีกว่านะครับ
กระนั้น ลิเวอร์พูล ก็มีดวงในการเสี่ยงเหรียญมากกว่า ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญในการดวลจุดโทษ เพราะพวกเขาชนะทั้งการเลือกแดน (ยิงฝั่งกองเชียร์ตัวเอง) และการเป็นฝ่ายยิงก่อน (ยิงก่อนได้เปรียบ)
ผู้เล่นทั้ง 2 ทีม สังหารจุดโทษได้เด็ดขาด และเยือกเย็นดีนักแล เพราะไม่พลาดเลย หลังผ่านไปทีมละ 10 คน
เชลซี กดดันมากกว่า เพราะยิงทีหลังจึงได้แต่ยิงเพื่อเสมอก็ยังนิ่งพอที่จะไม่พลาดเลย แสดงให้เห็นว่าเตรียมตัวด้วยการซ้อมกันมาเป็นอย่างดี
แต่บ่อยครั้งที่เกมลูกหนังมันก็สัปโดกแบบไม่มีเหตุผล และไม่ต้องการความเข้าใจใดๆ ทั้งสิ้น !!!
เมื่อนายทวารที่ลงมาเพื่อเซฟจุดโทษโดยเฉพาะอย่าง 'เกปา' ดันป้องกันลูกไม่ให้เข้าประตูไม่ได้เลยสักครั้ง แถมไม่ใกล้เคียงด้วย เพราะพุ่งผิดทางเกือบทุกลูก...ซะอย่างนั้น
นั่นยังมิหนำ เพราะเมื่อถึงคิวตัวเองสังหารจุดโทษแบบชี้เป็นชี้ตายกลับถูกความกดดันเล่นงานจนธาตุไฟแตก ตะบันลูกข้ามคานลอยทะลุชั้นบรรยากาศโลกออกไป...ซะอย่างนั้น
ถึงแม้มันจะลอยล่องไปไม่ถึงดวงจันทร์ แต่มันก็ยังตกอยู่ท่ามกลางดวงดาว...ถุยยยยย ไม่ใช่แล้ว
5. ถือเป็นนัดชิงฯ ที่สมศักดิ์ศรี และอยู่ในความทรงจำนัดหนึ่งทั้งที่ตีไข่กันไม่แตกตลอด 120 นาที โดยเฉือนกันแค่นิดเดียวเท่านั้นในการดวลเป้า
ถ้าเป็นหนังก็เป็นหนังที่ดูสนุกด้วย และเป็นหนังที่มีคุณภาพระดับส่งชิงรางวัลออสการ์ได้เลยด้วย
นอกจากนี้ยังถือเป็นนัดชิงชนะเลิศ ลีก คัพ ที่ยอดเยี่ยมที่สุดใยรอบ 5 ปี นับตั้งแต่เกมที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เอาชนะ เซาธ์แฮมป์ตัน ด้วยสกอร์ 3-2 เมื่อปี 2017 เพราะหลังจากนั้นอีก 4 ปีที่ แมนฯ ซิตี้ ผูกขาดแชมป์เพียงทีมเดียว
แทบไม่มีนัดชิงฯ ที่สนุกสนาน ตื่นเต้น เพียบพูนด้วยอัตราความเมามันระดับ 80,000 ตีนถึบแบบนี้เลย
สำหรับผู้แพ้อย่าง เชลซี คงแค่เสียดาย แต่ไม่มีอะไรต้องเสียใจ เพราะพวกเขาทำดีที่สุดแล้ว โดยแพ้แค่การเสี่ยงเหรียญเท่านั้น
ส่วน ลิเวอร์พูล ก็เหมาะสมกับตำแหน่งแชมป์แบบไม่มีข้อกังขา
บอ.บู๋
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น