เวย์น บริดจ์ เปิดอก สุดเซ็งที่เห็น โรแบร์โต้ มันชินี่ กุนซือทีมชาติอิตาลีได้ชูถ้วยแชมป์ ยูโร 2020

เวย์น บริดจ์ เปิดอก สุดเซ็งที่เห็น โรแบร์โต้ มันชินี่ กุนซือทีมชาติอิตาลีได้ชูถ้วยแชมป์ ยูโร 2020 

เพราะส่วนตัวแล้วตนเกลียด มันชินี่ สุดๆ พร้อมบอกว่าสาเหตุหลักที่ทำให้ มันชินี่ เคยได้แชมป์ พรีเมียร์ลีก กับ แมนฯ ซิตี้ มันเป็นเพราะตอนนั้น "เรือใบสีฟ้า" มีขุมกำลังที่แข็งแกร่ง ไม่ใช่เพราะมันสมองของกุนซือชาวอิตาเลียน บ้านผลบอลวันนี้

    เวย์น บริดจ์ อดีตแบ็กซ้ายชาวอังกฤษ ยอมรับว่าตนเสียใจมากๆ ที่ อิตาลี เอาชนะ อังกฤษ จนได้แชมป์ ยูโร 2020 ไปครอง เพราะส่วนตัวแล้วตนเกลียด โรแบร์โต้ มันชินี่ เทรนเนอร์ทัพ "อัซซูรี่" มากๆ จากการที่เคยมีประสบการณ์ที่ย่ำแย่ตอนร่วมงานกันที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้

เวย์น บริดจ์ เปิดอก สุดเซ็งที่เห็น โรแบร์โต้ มันชินี่ กุนซือทีมชาติอิตาลีได้ชูถ้วยแชมป์ ยูโร 2020

มันชินี่ เคยถูกตั้งคำถามว่าเป็นกุนซือที่เหมาะจะทำให้ อิตาลี ประสบความสำเร็จหรือไม่ ในตอนที่เขาเพิ่งเข้ามาคุมทัพบ้านเกิดเมื่อปี 2018 แต่ล่าสุดกุนซือวัย 56 ปีก็ถึงขั้นพาบ้านเกิดซิวแชมป์ ยูโร มาเชยชมได้ แถมยังเป็นการชนะ อังกฤษ ในช่วงดวลจุดโทษได้ถึงสนาม เวมบลีย์ ด้วย บ้านผลบอล ภาษาไทย

    บริดจ์ เผยว่า "มันทำให้ผมเจ็บปวดมากๆ เพราะผมเกลียด มันชินี่ เข้าไส้ ทุกคนรู้ดีว่าผมไม่รักเขาแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว ผมคงไม่ถึงขั้นบอกหรอกว่าเขาเป็นคนที่แย่ที่สุดเท่าที่ตัวเองเคยเจอ แต่ในด้านแท็กติกแล้วเขาไม่ได้เก่งกาจอะไรเลย ความสำเร็จที่เขาทำได้มันเป็นความสำเร็จที่ดี ซึ่งการออกมาพูดอะไรแบบนี้มันน่าเจ็บปวดสุดๆ"

    "ครอบครัวของผมไม่ได้เชียร์แค่ อังกฤษ เท่านั้น พวกเขายังเชียร์ให้ มันชินี่ แพ้ด้วย ดังนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นมันเลยทำให้เราเจ็บปวดมากกว่าเดิมอีก ผมไม่เคยชอบเขาในฐานผู้จัดการทีมเลย แน่นอนว่ามันต้องให้เครดิตกับสิ่งที่เขาทำได้ที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับการที่เขาพาทีมคว้าแชมป์ลีกมาครองได้ แฟนบอล ซิตี้ เลยรักเขาเป็นธรรมดา แต่ถ้าคุณลองดูบรรดานักเตะกับขุมกำลังที่เขามีแล้วล่ะก็ คุณก็จะเห็นว่าขุมกำลังเหล่านั้นต่างหากที่ทำให้ทีมได้แชมป์ ไม่ใช่ผู้จัดการทีมแบบเขา"

จานลุยจิ ดอนนารุมม่า นายทวารจอมหนึบทีมชาติอิตาลี จารึกรูปถ้วยแชมป์ ยูโร บนแขนซ้าย เพื่อบันทึกความทรงจำอันหอมหวานจากควรมสำเร็จสุดยิ่งใหญ่ในศึก ยูโร 2020 

     จานลุยจิ ดอนนารุมม่า ยอดผู้รักษาประตูทีมชาติอิตาลี ที่เพิ่งเซ็นสัญญาร่วมทัพ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง หมาดๆ ฉลองความสำเร็จในการคว้าแชมป์ ยูโร 2020 ด้วยการสักรูปถ้วยแชมป์ ยูโร บนแขนซ้ายของตัวเอง 

     นายทวารร่างใหญ่วัย 22 ปี ถือเป็นขุนพลคนสำคัญที่ช่วยทัพ "อัซซูร์รี่" คว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่สอง หลังโชว์เซฟสองจุดโทษช่วย อิตาลี พิชิต อังกฤษ ในการดวลเป้า 3-2 (เสมอ 1-1 ในเกม 120 นาที) เกมรอบชิงฯ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม 

     นอกจากนี้ ดอนนารุมม่า ยังถูกเลือกให้คว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ ทำให้เจ้าตัวเป็นผู้รักษาประตูคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้รางวัลดังกล่าวในศึก ยูโร และล่าสุด อดีตนายด่าน เอซี มิลาน ก็ได้โชว์รอยสักถ้วยแชมป์ ยูโร บนแขนซ้ายลงสตอรี่ อินสตาแกรม ซึ่งเจ้าตัวไปสักมาทันทีที่เดินทางกลับถึงกรุงโรม พร้อมๆ กับบรรดาเพื่อนนักเตะทีมชาติอิตาลี 

ก่อนที่ อิตาลี จะผงาดคว้าแชมป์ยูโร 2020 ไปครองได้อย่างยิ่งใหญ่นั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขาถือเป็นหนึ่งในยักษ์ที่หลับไหลมาอย่างยาวนาน หลังจากห่างหายจากความสำเร็จมาเกินทศวรรษ โดยนับตั้งแต่ที่คว้าแชมป์เวิล์ด คัพ ในปี 2006 พวกเขาก็ไม่ใกล้เคียงที่จะคว้าแชมป์รายการระดับเมเจอร์ได้เลย

    แน่นอนว่าสไตล์การเล่นที่ขึ้นชื่อของวงการลูกหนังแดนรองเท้าบูทคือสไตล์การเล่นแบบ "คาเตนัชโช่" ที่เน้นการเล่นแบบเหนียวแน่น และมีทีเด็ดอยู่ที่การสวนกลับในการกระซวกประตูคู่แข่งแบบไม่ทันตั้งตัว จึงทำให้ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การเน้นเรื่องผลการแข่งขันมากกว่าจะเป็นการยิงคู่แข่งแบบถล่มทลาย 


    แต่กระนั้น อิตาลี ในยุคปัจจุบันนั้นกลับแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขาแทบไม่เหลือกลิ่นอายของสไตล์การเล่นแบบนี้อยู่เลย นับตั้งแต่ที่ โรแบร์โต้ มันชินี่ เข้ามากุมบังเหียนแทน จานปิเอโร่ เวนตูร่า ตั้งแต่ปี 2018 โดยกุนซือชาวอิตาเลียนรายนี้เข้ามาปลุกชีพทีมให้กลับมามีชีวิตชีวาได้อีกครั้ง



คาเตนัชโช่ที่หายไป! "โรแบร์โต้ มันชินี่" ผู้ปฏิวัติอิตาลีสู่การครองจ้าวยุโรป

    อย่างไรก็ตามอดีตกุนซือ แมนฯ ซิตี้ เข้ามาเปลี่ยนแปลงทั้งสไตล์ และระบบการเล่นที่ปรับมาใช้ 4-3-3 แทนที่จะเป็น 5-3-2 ที่เป็นแผนหลักของ อิตาลี มาอย่างยาวนาน และใช้วิธีการบีบเพรสซิ่งคู่แข่งอย่างโหดเหี้ยม พร้อมมีการครองบอลที่เหนียวแน่น ขณะที่ฟูลแบ็กสองฝั่งมีส่วนกับเกมรุกมากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ชัดในศึกยูโรครั้งนี้ โดยเฉพาะการเติมเล่นรุกแบบสุดมันส์ของ เลโอนาร์โด สปินาซโซล่า แบ็กซ้ายของทีมที่มีส่วนกับแนวรุกของทีมอย่างชัดเจน 


    จากสถิติระบุว่าใน 12 เกมที่ มันชินี่ นำทีมพบกับทีมท็อป 30 ในอันดับแรงกิ้งพวกเขามีค่าเฉลี่ยการครองบอลต่อเกมอยู่ที่ 59 เปอร์เซ็นต์ โดยมีเพียงสองเกมเท่านั้นกับ ฝรั่งเศส และ เนธอร์แลนด์ ที่พวกเขาครองบอลเป็นรอง ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าในยุคของ อันโตนิโอ คอนเต้ ที่คุมทีมระหว่างปี 2014-16 โดยที่มีค่าเฉลี่ยการครองบอลต่อเกมอยู่ที่ 46 เปอร์เซ็นต์ จากการลงเล่น 11 แมตช์กับทีมท็อป 30 ในอันดับแรงกิ้ง ขณะที่ในยูโรหนนี้นั้นทีมของ มันชินี่ มีค่าเฉลี่ยการครองบอลอยู่ที่ 53.6 ต่อเกม ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดอันดับที่ 4 เป็นรอง เนเธอร์แลนด์, เยอรมัน และ สเปน 


คาเตนัชโช่ที่หายไป! "โรแบร์โต้ มันชินี่" ผู้ปฏิวัติอิตาลีสู่การครองจ้าวยุโรป

    นอกจากนี้ อิตาลี กลายเป็นทีมที่สามารถยิงคู่แข่งต่อเกมได้อย่างขาดลอย เช่นเดียวกับที่ มันชินี่ เคยทำได้กับทั้งการคุม แมนฯ ซิตี้ หรือ อินเตอร์ มิลาน ซึ่งเขาเอามาปรับใช้กับทีมชุดนี้ได้อย่างลงตัว และสามารถรีดศักยภาพของบรรดาแข้งแนวรุกออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมโดยเฉพาะนักเตะอย่าง ชิโร่ อิมโมบิเล่ ที่กลับมายิงระเบิดในยุคของ มันชินี่ โดยทำไปแล้ว 8 ประตูจาก 21 นัด สวนทางกับในยุคของ เวนตูร่า ที่ทำได้เพียง 7 ประตูจาก 32 เกม 


    นับตั้งแต่ที่ มันชินี่ เข้ามากุมบังเหียนในเดือนพฤษภาคมปี 2018 อิตาลี กระซวกคู่แข่งไปถึง 92 ประตูจาก 39 เกม โดยคิดเป็นค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.48 ประตูต่อเกม ซึ่งเป็นสถิติที่ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆเลยกับทัพ "อัซซูรี่"


คาเตนัชโช่ที่หายไป! "โรแบร์โต้ มันชินี่" ผู้ปฏิวัติอิตาลีสู่การครองจ้าวยุโรป

     อย่างไรก็ตามกว่า มันโช่ จะสามารถพา อิตาลี กลับมาอยู่ในจุดสูงสุดอีกครั้งด้วยการครองจ้าวยุโรปได้เป็นครั้งแรกในรอบ 53 ปี พวเขาเคยต้องหล่นไปอยู่ในจุดตกต่ำมากที่สุดในประวัติศาสตร์มาแล้วในยุคของกุนซือ จานปิเอโร่ เวนตูร่า ที่ไม่สามารถพาทีมตีตั๋วไปเล่นฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซียได้ หลังจากไม่ผ่านรอบคัดเลือกด้วยการโดน สวีเดน เขี่ยตกรอบไปอย่างช็อกโลก ซึ่งเป็นครั้งแรกที่พวกเขาไม่ได้ไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายนังตั้งแต่ปี 1958 


    แถมสไตล์การเล่นในยุคของ เวนตูร่า นั้นเจ้าตัวโดนวิจารณ์อย่างหนักกับสไตล์การเล่นที่น่าเบื่อ บอลไม่มีทรงยิงประตูคู่แข่งได้ยาก และตั้งความหวังกับผู้เล่นประสบการณ์สูงมากเกินไป 


     แน่นอนว่าเรื่องดังกล่าวสร้างความชอกช้ำให้กับแฟนบอล และทำให้ทีมเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งคือการนำ มันชินี่ เข้ามากุมบังเหียนเพื่อทำการกอบกู้ทีมขึ้นมาอีกครั้งกับภารกิจลุยศึกยูโร 2020 และฟุตบอลโลก 2022  


คาเตนัชโช่ที่หายไป! "โรแบร์โต้ มันชินี่" ผู้ปฏิวัติอิตาลีสู่การครองจ้าวยุโรป

     "ผมเข้ามารับงานในทีมชาติอิตาลีด้วยสถานการณ์ที่ล้มเหลวและตกต่ำที่สุดในรอบ 50 ปี และผมคิดว่ามันถึงเวลาแล้ว ที่เราต้องทำอะไรที่มันแตกต่างออกไปจากสิ่งเดิม ๆ ที่เราเคยทำ" มันชินี่ เคยกล่าวเอาไว้  


    และถึงวันนี้เขาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสามารถพา อิตาลี กลับมากลายเป็นทีมเบอร์ต้นๆของยุโรปได้อีกครั้ง และงานต่อไปคือการลุยศึกฟุตอบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ ซึ่งไม่ว่าจะไปถึงฝั่งฝันได้หรือไม่ แต่ มันชินี่ ได้ปลุกยักษ์หลับให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้ว 


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Finalgoa News: ซาลาห์ชั้น 15 !เปิดชื่อ 14 สตาร์พรีเมียร์ลีกซิวค่าแรงงานสูงขึ้นมากยิ่งกว่าบังโม

Lookchinbet คาสิโนออนไลน์ ยอดเยี่ยมเว็บไซต์พนันออนไลน์ลำดับ 1 ประจำปี 2564

Lookchinbet..com โบนัสแบบที่ไม่ต้องฝากเงินยอดเยี่ยม 2021